การดูแลสุขภาพและผิวพรรณของเราให้มีความสดใสอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งวิธีที่จะช่วยบำรุงและเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายและเซลล์ผิวของเรานั้นก็คือ การเติมวิตามิน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พร้อมช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง โดยเทคนิคในการเติมวิตามินที่คนนิยมเลือกใช้ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่ การดริปวิตามิน (IV Drip) กับวิตามินแบบรับประทาน แต่ทั้งสองรูปแบบนี้ต่างกันอย่างไร หรือเหมาะกับใคร ควรเลือกแบบไหนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า SparSha จะพาไปหาคำตอบในบทความนี้กันค่ะ
ทำความรู้จัก การดริปวิตามิน (IV Drip) กับการกินวิตามิน คืออะไร?
- ดริปวิตามินผิว (IV Drip) คือ การให้สารวิตามิน แร่ธาตุ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านหลอดเลือดดำทางสายน้ำเกลือ โดยส่วนประกอบในตัวยาจะแตกต่างกันไปในแต่ละสูตรเฉพาะของทางคลินิก ซึ่งจะให้ประโยชน์ในด้านการบำรุงผิวพรรณ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเสริมความแข็งแรงให้กับระบบของร่างกายที่เสื่อมสภาพ
- วิตามินแบบรับประทาน คือ วิตามินที่ปรุงเป็นสูตรสำเร็จ ใช้ในการรับประทานเข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากขึ้น เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้ออาจจะไม่หลากหลายหรือไม่ได้รับวิตามินที่เพียงพอ จึงมีการผลิตอาหารเสริมวิตามินรูปแบบรับประทานขึ้นมานั่นเอง
ดริปวิตามิน VS วิตามินแบบรับประทาน ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดีกว่ากัน?
ผลลัพธ์ของการเติมวิตามินทั้ง 2 รูปแบบนี้จะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากการดริปวิตามิน (IV Drip) จะสามารถเข้าสู่ระดับเซลล์ ซึ่งร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินได้ถึง 100% และสามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึมผ่านทางระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยให้ร่างกายได้รับการบำรุงและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่อ่อนแอ พร้อมช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในส่วนของวิตามินแบบรับประทานจะสามารถดูดซึมเพื่อนำมาใช้ฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณได้น้อยกว่า เนื่องจากจะต้องผ่านการทำงานของตับและลำไส้ในการดูดซึมก่อน ซึ่งกว่าที่ร่างกายจะนำสารอาหารจากวิตามินมาใช้จึงทำให้ดูดซึมวิตามินได้เพียง 50% ของวิตามินที่รับประทานเข้าไปเท่านั้น
ทานวิตามินอยู่ ต้องหยุดก่อนดริปวิตามินหรือไม่?
หากต้องการดริปวิตามินผิว แต่มีการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมอยู่เป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องงดการรับประทาน แต่ก่อนทำการดริปวิตามินควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการใช้ยาและวิตามินหรืออาหารเสริมที่ใช้อยู่ทุกชนิดก่อน เนื่องจากต้องให้แพทย์ประเมินหรือพิจารณาการให้วิตามิน IV Drip ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และประโยชน์ที่ดีที่สุดหลังเข้ารับบริการ
IV Drip ดริปวิตามินสูตรเฉพาะที่ SparSha มีอะไรบ้าง?
สูตรดริปผิว IV Drip ที่ SparSha มีด้วยกัน 10 สูตร ซึ่งแต่ละสูตรก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ปรับผิวให้กระจ่างใส พร้อมช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ดังนี้
- Supreme White & Immune Booster ลดความหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับผิวให้กระจ่างใสเปล่งปลั่ง
- Extreme C Energy Booster ป้องกันหวัด ต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนน้อย ทำให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
- Recharge Energy Booster ลดอาการเมาค้าง ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายสดชื่น และรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิม
- Nature Hair & Nail ลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้ผมหนานุ่มสลวย และช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง ไม่เปราะบางง่าย
- Super Skin Barrier ป้องกันผิวจากแสงแดด กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และบำรุงผิวที่แห้งกร้านให้กลับมานุ่มชุ่มชื้น
- Energy Booster ช่วยฟื้นฟูพลังงานสำหรับผู้ที่ทำงานหนัก ทำให้ร่างกายกลับมามีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
- Antioxidant Booster เสริมสร้างและปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันจากมลภาวะ และช่วยลดอาการภูมิแพ้
- Detoxification Booster ล้างสารพิษในตับ เร่งการขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย
- Brain Booster บำรุงสมองด้วยวิตามิน 13 ชนิด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองให้ดีขึ้น และช่วยในเรื่องความจำ
- Skin & Brightening Booster ช่วยเติมน้ำและบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ผิวสุขภาพดี ดูมีออร่า
ดริปวิตามิน IV Drip ดีไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
การเติมวิตามินมีคุณประโยชน์มากมาย ดังนี้
- ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น
- เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวพรรณและร่างกาย
- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง กระจ่างใส ดูมีออร่า และดูอ่อนเยาว์
- เสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยเสริมการทำงานของตับ
- ช่วยเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย
- ช่วยบำรุงและซ่อมแซมส่วนต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งเส้นผมและเล็บ
- ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินได้ดีกว่าการกินวิตามิน
ดริปวิตามินผิวเหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายอย่างเร่งด่วน
- ผู้ที่ผิวขาดความชุ่มชื้น หยาบกระด้าง หมองคล้ำไม่สดใส
- ผู้ที่มีผิวเสียจากแสงแดด สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพผิวตั้งแต่ภายใน
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย
- ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ผู้ที่มีระบบภูมิต้านทำงานบกพร่อง เป็นหวัดบ่อย หรือโรคภูมิแพ้
ควรดริปวิตามินบ่อยแค่ไหน ทำกี่ครั้งเห็นผล?
หากต้องการให้ผลลัพธ์หลังการดริปวิตามินดียิ่งขึ้น แนะนำให้ทำการเติมวิตามินผิวอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 3-5 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของวิตามินแต่ละสูตร) และเมื่อผิวเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้ว อาจจะลดความถี่ในการทำลงเป็น 2-3 ครั้งต่อเดือน ทั้งนี้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลตัวเองหลังทำการดริปวิตามินด้วยเช่นกัน
หลังดริปวิตามินดูแลตัวเองอย่างไร?
เพื่อคงผลลัพธ์หลังดริปวิตามิน IV Drip ให้อยู่ได้นานขึ้น แนะนำให้ดูแลตัวเอง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50+ ขึ้นไปก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
- ดื่มน้ำมากๆ วันละประมาณ 1-2 ลิตร เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว
- หลีกเลี่ยงการนวด ถู เกา บริเวณผิวที่ดริปวิตามิน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เนื่องจากจะทำให้ผิวหมองคล้ำและมีริ้วรอยมากขึ้น
- ทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
หากเทียบการเติมวิตามินทั้ง 2 รูปแบบนี้ การดริปวิตามินจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีและเร็วกว่าการกินวิตามิน เนื่องจากการกินวิตามินต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซึมอย่างน้อย 3 เดือน อีกทั้งการดริปวิตามินที่สามารถดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ดี จึงช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินได้อย่างครบถ้วน จึงถือว่ามีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายใน และช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับระบบร่างกายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการดริปวิตามิน หรือวิตามินแบบรับประทาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อการเติมวิตามินที่เหมาะสมกับร่างกาย โดยสามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ของเราที่ SparSha ทุกสาขาได้เลยนะคะ